ทำงานแบบ Hybrid อย่างไรให้พนักงานแฮปปี้ขึ้น แถมประหยัดงบไปอีก!

webmaster

**

"A person working comfortably at a dedicated home workspace, balancing a laptop with a view of a relaxing garden. Focus on ergonomic setup and clear separation between work and personal life. Soft, natural lighting. Style: Realistic, cozy, inviting."

**

ในยุคปัจจุบันที่การทำงานแบบ Hybrid กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น องค์กรหลายแห่งต่างมองหาวิธีที่จะทำให้พนักงานมีความสุขและมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านหรือการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันส่งผลต่อความผูกพัน ความคิดสร้างสรรค์ และความสำเร็จขององค์กรโดยรวมการทำงานแบบผสมผสานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะคะ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ลองใช้รูปแบบการทำงานนี้ พบว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บางครั้งการทำงานจากที่บ้านก็ทำให้รู้สึกเหงาและขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้มีสมาธิและจัดการเวลาได้ดีขึ้น การหาจุดสมดุลที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเทรนด์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น การใช้ AI เพื่อปรับแต่งประสบการณ์การเรียนรู้และการพัฒนาของพนักงาน หรือการใช้ VR เพื่อสร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่ทุกคนสามารถเข้ามาทำงานร่วมกันได้ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตเราจะได้เห็นการทำงานแบบ Hybrid ที่มีความซับซ้อนและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยที่พนักงานสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากที่สุดดังนั้น การทำความเข้าใจถึงความต้องการของพนักงานแต่ละคน และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานในยุค Hybrid นี้ค่ะมาค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันในบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ!

การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

ทำงานแบบ - 이미지 1

1. กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน

จากการที่ได้ลองทำงานแบบ Hybrid มาสักพัก สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว เมื่อก่อนตอนที่ทำงานที่ออฟฟิศอย่างเดียว เลิกงานก็คือจบ แต่พอมาทำงานที่บ้านบางทีก็เผลอเอางานกลับมาทำต่อจนดึกดื่น ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอและรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงต้องตั้งกฎกับตัวเองว่าเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว จะต้องหยุดทำงานและหันไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือออกกำลังกาย

2. จัดตารางเวลาที่ยืดหยุ่น

ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานแบบ Hybrid คือความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา แต่ถ้าไม่มีการวางแผนที่ดี ก็อาจจะทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงได้ง่าย ดังนั้นจึงควรจัดตารางเวลาที่ยืดหยุ่น โดยกำหนดเวลาสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง เวลาสำหรับการพักผ่อน และเวลาสำหรับการทำกิจกรรมส่วนตัว นอกจากนี้ยังควรเผื่อเวลาสำหรับการปรับเปลี่ยนตารางเวลาในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นด้วย

3. สร้างพื้นที่ทำงานที่เหมาะสม

การมีพื้นที่ทำงานที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบ Hybrid ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านหรือการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ควรจัดพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน สะดวกสบาย และปราศจากสิ่งรบกวน เพื่อให้สามารถมีสมาธิและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงเรื่องของแสงสว่างและอากาศถ่ายเท เพื่อสุขภาพที่ดีด้วย

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในทีม Hybrid

1. ใช้เครื่องมือสื่อสารที่หลากหลาย

ในการทำงานแบบ Hybrid การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสมาชิกในทีมอาจจะไม่ได้อยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกันตลอดเวลา ดังนั้นจึงควรใช้เครื่องมือสื่อสารที่หลากหลาย เช่น อีเมล แชท วิดีโอคอล และโปรแกรมบริหารจัดการโครงการ เพื่อให้ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังควรเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เช่น การใช้แชทสำหรับการสื่อสารแบบเร่งด่วน และการใช้อีเมลสำหรับการสื่อสารที่เป็นทางการ

2. จัดการประชุมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ

การประชุมออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานแบบ Hybrid แต่ถ้าไม่มีการจัดการที่ดี ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ดังนั้นจึงควรกำหนดวาระการประชุมที่ชัดเจน เตรียมเอกสารประกอบการประชุมล่วงหน้า และจำกัดเวลาในการประชุม นอกจากนี้ยังควรมีผู้ดำเนินรายการที่คอยควบคุมการประชุมให้เป็นไปตามวาระ และสรุปผลการประชุมให้ทุกคนทราบหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น

3. สร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่เปิดเผยและโปร่งใส

การสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่เปิดเผยและโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบ Hybrid เพราะจะช่วยให้สมาชิกในทีมรู้สึกไว้วางใจกันและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเข้าใจผิดและสร้างความร่วมมือที่ดีระหว่างสมาชิกในทีม ควรสนับสนุนให้สมาชิกในทีมสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว และให้ทุกคนรับรู้ถึงเป้าหมายและสถานะของโครงการ

การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

1. สนับสนุนการดูแลสุขภาพกายและใจ

การทำงานแบบ Hybrid อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของพนักงานได้ ดังนั้นองค์กรควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังควรจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพใจ เช่น การฝึกสติ การทำสมาธิ และการพูดคุยกับนักจิตวิทยา

2. จัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม

ในการทำงานแบบ Hybrid พนักงานจำเป็นต้องมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หูฟัง ไมโครโฟน หรือโปรแกรมต่างๆ องค์กรควรจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่จำเป็นให้กับพนักงาน และให้การสนับสนุนด้านเทคนิคเมื่อพนักงานต้องการ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาถึงเรื่องของสรีรศาสตร์ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบายและไม่ปวดเมื่อย

3. สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

การทำงานแบบ Hybrid อาจจะทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดความผูกพันกับองค์กรได้ ดังนั้นองค์กรควรพยายามสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรให้กับพนักงาน โดยจัดกิจกรรมที่ช่วยให้พนักงานได้พบปะและทำความรู้จักกัน เช่น การจัดงานเลี้ยง การจัดกิจกรรมสันทนาการ และการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม นอกจากนี้ยังควรให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและวางแผนขององค์กร เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กร

การพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงาน

1. จัดอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็น

ในการทำงานแบบ Hybrid พนักงานจำเป็นต้องมีทักษะและความรู้ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรควรจัดอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับพนักงาน เช่น ทักษะด้านเทคโนโลยี ทักษะด้านการสื่อสาร และทักษะด้านการบริหารจัดการเวลา นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดหาแหล่งข้อมูลและเครื่องมือที่จำเป็นให้กับพนักงาน

2. ให้โอกาสในการเรียนรู้และเติบโต

องค์กรควรให้โอกาสในการเรียนรู้และเติบโตแก่พนักงาน โดยให้พนักงานได้ลองทำงานใหม่ๆ ได้รับมอบหมายโครงการที่ท้าทาย และเข้าร่วมการประชุมและสัมมนาต่างๆ นอกจากนี้ยังควรมีระบบการประเมินผลงานที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อให้พนักงานได้รับรู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง และมีโอกาสในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

3. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบ Hybrid เพราะจะช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ องค์กรควรสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว และให้พนักงานแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ของตนเองกับเพื่อนร่วมงาน

การประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการทำงาน

1. กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน

ในการประเมินผลรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid องค์กรควรกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ ตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิต คุณภาพงาน ความพึงพอใจของพนักงาน และความผูกพันของพนักงาน นอกจากนี้ยังควรพิจารณาถึงตัวชี้วัดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขององค์กรด้วย

2. รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล

องค์ควรรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อประเมินผลรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid เช่น การสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน การสัมภาษณ์ การสังเกต และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เมื่อรวบรวมข้อมูลแล้ว ควรนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผล เพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนของรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid

3. ปรับปรุงรูปแบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง

จากการวิเคราะห์ผลการประเมิน องค์กรควรปรับปรุงรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปแบบการทำงานมีความเหมาะสมกับความต้องการของพนักงานและธุรกิจขององค์กรมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงรูปแบบการทำงานควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาถึงข้อเสนอแนะของพนักงาน และติดตามแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ

ปัจจัย ข้อดี ข้อเสีย
ความยืดหยุ่น เพิ่มความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว อาจทำให้ทำงานไม่เป็นเวลา
การสื่อสาร ใช้เครื่องมือสื่อสารที่หลากหลาย อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย
ความเป็นอยู่ที่ดี ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ อาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
การพัฒนาทักษะ จัดอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็น ต้องใช้เวลาและทรัพยากร
การประเมินผล วัดผลได้อย่างแม่นยำ ต้องกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน

เทคโนโลยีที่สนับสนุนการทำงานแบบ Hybrid

1. แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน

แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน (Collaboration Platform) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ไฟล์ การแก้ไขเอกสารร่วมกัน การสื่อสาร และการบริหารจัดการโครงการ ตัวอย่างของแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน ได้แก่ Microsoft Teams, Slack, Google Workspace และ Asana

2. ระบบการประชุมทางวิดีโอ

ระบบการประชุมทางวิดีโอ (Video Conferencing System) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถประชุมและสื่อสารกันได้แบบเห็นหน้า แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน ตัวอย่างของระบบการประชุมทางวิดีโอ ได้แก่ Zoom, Google Meet, Microsoft Teams และ Webex

3. เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ

เครื่องมือบริหารจัดการโครงการ (Project Management Tool) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถวางแผน ติดตาม และบริหารจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเครื่องมือบริหารจัดการโครงการ ได้แก่ Trello, Asana, Jira และ Monday.com

การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานในยุค Hybrid ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจถึงความต้องการของพนักงาน การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น เป็นส่วนตัว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความผูกพัน ความคิดสร้างสรรค์ และความสำเร็จขององค์กรในระยะยาวค่ะในการปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานแบบ Hybrid อาจต้องใช้เวลาและการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความสมดุลและความสุขในการทำงานที่มากขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับทุกท่านในการสร้างประสบการณ์การทำงานแบบ Hybrid ที่ดีที่สุดสำหรับตนเองนะคะ

บทสรุป

1.

การจัดการเวลาเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานแบบ Hybrid พยายามจัดสรรเวลาให้เหมาะสมกับงานและชีวิตส่วนตัว

2.

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็น ใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและสื่อสารอย่างเปิดเผยกับทีม

3.

อย่าละเลยสุขภาพกายและใจ หาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด

4.

พัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ

5.

ประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ารูปแบบการทำงานนั้นเหมาะสมกับคุณและทีม

ข้อควรรู้

1.

แอปพลิเคชันจัดการงาน: ลองใช้แอปพลิเคชันอย่าง Asana, Trello หรือ Monday.com เพื่อจัดการงานและติดตามความคืบหน้า

2.

เครื่องมือสื่อสาร: เลือกใช้เครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสมกับทีมของคุณ เช่น Slack, Microsoft Teams หรือ Google Meet

3.

การจัดพื้นที่ทำงาน: จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน สะดวกสบาย และปราศจากสิ่งรบกวน

4.

การพักผ่อน: หาเวลาพักผ่อนสั้นๆ ระหว่างวัน เพื่อคลายความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

5.

การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มพลังงาน

ประเด็นสำคัญ

* ความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องมีการจัดการเวลาที่ดี
* การสื่อสารที่ชัดเจนและสม่ำเสมอช่วยลดความเข้าใจผิด
* การดูแลสุขภาพกายและใจส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
* การพัฒนาทักษะและความรู้ช่วยให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้
* การประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: การทำงานแบบ Hybrid คืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง?

ตอบ: การทำงานแบบ Hybrid คือการผสมผสานระหว่างการทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่อื่น ๆ นอกสำนักงาน กับการเข้ามาทำงานที่สำนักงานเป็นครั้งคราว ข้อดีคือ พนักงานมีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงานมากขึ้น ช่วยลดความเครียดจากการเดินทาง และเพิ่มสมาธิในการทำงานบางประเภทได้ แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้ขาดการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ทำให้รู้สึกเหงา และยากต่อการสร้างทีมเวิร์คที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ อาจมีปัญหาเรื่องการควบคุมและติดตามงานหากไม่มีระบบการจัดการที่ดี

ถาม: เทรนด์การทำงานแบบ Hybrid ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง?

ตอบ: เทรนด์ที่กำลังมาแรงคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน เช่น การใช้โปรแกรมสื่อสารและทำงานร่วมกันออนไลน์ (เช่น Microsoft Teams, Slack, Zoom) การใช้ Cloud Computing เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลและไฟล์ได้จากทุกที่ การใช้ AI เพื่อช่วยในการจัดการตารางนัดหมายและงานต่าง ๆ และการใช้ VR/AR เพื่อสร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่สามารถทำงานร่วมกันได้เหมือนอยู่ในสำนักงานจริง นอกจากนี้ องค์กรหลายแห่งยังให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานแบบ Hybrid โดยการจัดกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กัน

ถาม: องค์กรจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานในยุค Hybrid ได้อย่างไร?

ตอบ: สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจความต้องการของพนักงานแต่ละคน และปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการนั้น ๆ องค์กรควรจัดให้มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากที่บ้านอย่างครบครัน รวมถึงสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ โดยใช้ช่องทางที่หลากหลายเพื่อให้พนักงานได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงานก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น การจัดกิจกรรมออนไลน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน การจัดกิจกรรมทีมบิวดิ้ง หรือการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ นอกจากนี้ ควรมีการประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์แก่พนักงาน

📚 อ้างอิง